ความสำคัญของระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ในการพิสูจน์ความล่าช้าในโครงการก่อสร้าง

Article

ความสำคัญของระบบจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ ในการพิสูจน์ความล่าช้าในโครงการก่อสร้าง

Issue 04 (YEAR 2024)
เขียนโดย : ดร.อภิรัตน์ ประทีปอุษานนท์ (ดร.หมิว)
เผยแพร่ : 19 JUL 2024

ทุกวันนี้ โครงการก่อสร้างส่วนใหญ่ต้องเผชิญกับความซับซ้อนและความท้าทายในด้านต่าง ๆ เนื่องจากเอกสารงานก่อสร้างถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงแค่กระดาษราคาถูก ๆ แต่ก็คือพยานหลักฐานที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากในการสนับสนุนและพิสูจน์กระบวนการขอขยายระยะเวลางานก่อสร้าง ซึ่งถึงแม้ว่ากระดาษเหล่านี้อาจดูเหมือนไม่มีค่า แต่จริง ๆ แล้ว กระดาษดังกล่าวได้เก็บรักษาข้อมูลและเหตุการณ์สำคัญที่อาจมีผลกระทบต่อเวลาและค่าใช้จ่ายในโครงการก่อสร้าง

ความซับซ้อนและข้อพิพาทในโครงการก่อสร้าง

ข้อพิพาทในงานก่อสร้างอาจเกิดจากเหตุปัจจัยหลายอย่าง เช่น เจ้าของงาน ผู้รับเหมา ผู้ออกแบบ หรือผู้จัดหาวัสดุก่อสร้าง ซึ่งบ่อยครั้งที่การก่อสร้างต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เช่น การแก้ไขแบบก่อสร้าง หรือการเพิ่มงานในสัญญา ซึ่งสามารถทำให้วันแล้วเสร็จล่าช้าออกไป การจัดการเอกสารอย่างเป็นระบบช่วยลดความซับซ้อนและลดโอกาสเกิดข้อพิพาท อีกทั้งยังช่วยตรวจสอบความล่าช้า และป้องกันบรรเทาความล่าช้าที่อาจจะเกิดขึ้นได้

บทบาทของเอกสารงานก่อสร้างในการพิสูจน์ความล่าช้า

เอกสารงานก่อสร้างไม่เพียงแค่บันทึกข้อมูล แต่ยังเป็นหลักฐานสำคัญในการพิสูจน์ว่าความล่าช้าเกิดจากอะไรและใครเป็นผู้รับผิดชอบ ตัวอย่างเช่น เอกสารคำสั่งเปลี่ยนแปลงงาน รายงานประจำวัน และการอนุมัติวัสดุต่างๆ ที่บันทึกเหตุการณ์และการตัดสินใจต่างๆ ไว้อย่างชัดเจน

สาเหตุของความล่าช้าที่มาจากเจ้าของโครงการ หรือตัวแทนเจ้าของโครงการที่พบบ่อยมากที่สุด คือ การแก้ไขแบบก่อสร้างล่าช้า การตัดสินใจอนุมัติเอกสารล่าช้า การตอบเอกสารสอบถามข้อมูล (RFI) ด้านเทคนิคล่าช้า ฯลฯ

ยกตัวอย่างความล่าช้าเนื่องจากการแก้ไขแบบก่อสร้างงานระบบไฟฟ้าชั้น 1 ล่าช้า ส่งผลกระทบต่อเวลาก่อสร้างโดยรวมล่าช้าไป 6 เดือน และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 5 ล้านบาทเนื่องจากการรื้อถอนงานที่ติดตั้งไปแล้ว จากเหตุการณ์ล่าช้าสมมุตินี้ โดยทั่วไป เอกสารที่ใช้ในการพิสูจน์ความล่าช้าจะ

ประกอบไปด้วย:

1. เอกสารแบบก่อสร้างฉบับแรก (ก่อนแก้ไข)
2. เอกสารแบบก่อสร้างฉบับแก้ไขทุกฉบับ (บางครั้งมีการแก้ไขมากถึง 10 รอบ)
3. เอกสารสอบถามข้อมูลหรือ Request for Information (RFI), ถ้ามี
4. เอกสารแบบโดยละเอียด หรือ Shop Drawings (หากมีการติดตั้งงานไปแล้ว จำเป็นต้องใช้แบบโดยละเอียดที่ได้รับอนุมัติแล้วมาแสดง เพราะบางครั้งผู้รับเหมาได้ติดตั้งไปก่อนที่แบบโดยละเอียดจะได้รับอนุมัติ)
5. เอกสารขอเข้าทำงานรายวัน หรือ Daily Request (กรณีที่เริ่มติดตั้งงานไปแล้ว แต่ยังไม่แล้วเสร็จ)
6. เอกสารขอตรวจสอบงาน หรือ Work Inspection Request (กรณีที่ติดตั้งงานเสร็จแล้ว)
7. เอกสารแจ้งเตือน ตามระยะเวลาที่สัญญาระบุ (หากเกิดเหตุการณ์ล่าช้าที่กระทบเงินและ/หรือเวลา สัญญาส่วนใหญ่จะระบุให้แจ้งเตือนภายในกี่วัน)
8. เอกสารแสดงความเสียหาย เช่น เอกสารแสดงจำนวนคนทำงานล่วงเวลา เอกสารบันทึกว่ามีคนงานมาทำงานแต่มีอุปสรรคหน้างานทำงานไม่ได้ เอกสารแสดงว่าต้องจ้างผู้เชี่ยวชาญเพิ่มเพื่อแก้ไขปัญหา รวมถึงเอกสารทางการเงิน (หากเคลมเงินเพิ่ม จะต้องแสดงเอกสารหลักฐานว่ามีการจ่ายค่าใช้จ่ายจริง)

นี่คือตัวอย่างของความล่าช้าเพียงเหตุการณ์เดียว เฉพาะเอกสาร RFI รายการที่ 3 อาจมีหลายร้อยเอกสารที่เราต้องเลือกออกมา และในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ เหตุการณ์ความล่าช้ามักจะมีจำนวนหลักร้อยเหตุการณ์ตลอดระยะเวลาก่อสร้าง ดังนั้นหัวใจของการพิสูจน์ความล่าช้าคือการค้นหาเอกสารได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ

ประสบการณ์ที่ผ่านมา

ในปี ค.ศ. 1998 ข้าพเจ้าได้ทำงานในแผนกบริหารเคลมงานก่อสร้างที่บริษัท Hill International Inc. ในกรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา แผนกนี้มีหน้าที่วิเคราะห์ความล่าช้าและขอขยายเวลาในโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ทุกครั้งที่มีข้อพิพาท เราต้องใช้เอกสารเป็นหลักฐานในการพิสูจน์ความล่าช้า ซึ่งต้องตอบคำถามหลัก ๆ เช่น โครงการล่าช้าไปกี่วัน สาเหตุหลักของความล่าช้าคืออะไร และใครเป็นผู้รับผิดชอบ

ช่วงปีแรก ๆ ของการทำงาน เอกสารก่อสร้างต่าง ๆ ที่ต้องนำมาใช้ในการวิเคราะห์จะถูกจัดเก็บในรูปกระดาษในกล่องจำนวนมาก หลาย ๆ โครงการมีจำนวนหลายร้อยกล่อง เมื่อถึงปีที่ 2 ของการทำงาน บริษัทได้นำโปรแกรมจัดการเอกสารเข้ามา ทำให้เอกสารทั้งหมดถูกสแกนและนำเข้าโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทำให้สามารถค้นหาเอกสารก่อสร้างได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ หลังจากนั้นข้าพเจ้าจึงทำการวิเคราะห์โครงการก่อสร้างล่าช้าแบบไร้กระดาษ โดยสแกนเอกสารทุกฉบับและจัดเก็บในระบบคลาวด์ ทำให้สามารถเข้าถึงเอกสารได้จากทุกที่ในโลก ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสนุกกับงานที่ทำ

จนกระทั่งเมื่อ 10 ปีก่อน ข้าพเจ้าได้รับทำการวิเคราะห์เคลมก่อสร้างให้กับโครงการก่อสร้างขนาดกลางในประเทศไทยที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ ข้าพเจ้าพบว่าการเข้าถึงเอกสารก่อสร้างและการทราบสถานะของเอกสารหรือสถานะของงานก่อสร้างจะขึ้นอยู่กับรายงานที่ต้องจัดทำอย่างหนักโดยวิศวกรภาคสนามหรือแอดมินไซต์งาน บางโครงการที่เกิดปัญหามาก มีการแก้ไขแบบหลาย ๆ รอบ และไม่มีระบบจัดการนำส่งอนุมัติเอกสารที่ดี ก็ยิ่งยากขึ้น ไม่ทราบแม้กระทั่งสถานะของแบบก่อสร้างที่แท้จริงของตัวเอง ข้อมูลกระจัดกระจายอยู่กับทีมออกแบบบ้างหรือทีมหน้างานบ้าง

ข้าพเจ้าทำได้ไม่กี่โครงการก็เพียงพอที่จะฟันธงว่า การจะบริหารก่อสร้างที่ดีได้ ต้องมีเครื่องมือในการบริหารจัดการเอกสารก่อสร้างที่ดี สามารถเก็บประวัติการแก้ไขและแสดงรายงานในรูปแบบกราฟและตารางได้ทันที ไม่สามารถลบหรือเปลี่ยนแปลงเอกสารที่นำส่งแล้วได้
ต่อมาในปี ค.ศ. 2013 ข้าพเจ้าและทีมงานต้องเข้าไปจัดการเอกสารก่อสร้างให้กับผู้รับเหมาตั้งแต่เริ่มต้นโครงการก่อสร้างตึกสูงในกรุงเทพ สิ่งแรกที่ข้าพเจ้าคิดคือในอีก 2 ปีข้างหน้าเอกสารก่อสร้างจะมีเป็นล้านหน้า เราต้องหาเครื่องมือในการจัดการเอกสารที่ดี แล้วเครื่องมือไหนล่ะที่ดี?

เครื่องมือในการบริหารจัดการเอกสารก่อสร้าง

ปัจจุบัน มีเครื่องมือหลายอย่างที่ช่วยในการบริหารจัดการเอกสารก่อสร้างบนระบบ Cloud-Based ซึ่งสามารถใช้ได้กับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นเจ้าของงาน ผู้รับเหมา ผู้ออกแบบ และที่ปรึกษา ซึ่งช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถเข้าถึงเอกสารได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างของเครื่องมือเหล่านี้ ได้แก่:

1. Aconex: แพลตฟอร์มที่ช่วยในการเชื่อมต่อทีมงานและกระบวนการต่าง ๆ ในทุกขั้นตอนของโครงการ และเก็บบันทึกข้อมูลโครงการทั้งหมดไว้ในที่เดียว

2. Procore: ระบบบริหารจัดการโครงการที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถจัดการเอกสาร รูปภาพ แผนที่ และรายงานต่าง ๆ บนคลาวด์ ทำให้ทุกฝ่ายสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3. ConZoL: ระบบจัดการเอกสารและโครงการก่อสร้างที่ใช้งานง่ายและมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ทีมงานทุกฝ่ายสามารถติดตามเอกสาร การอนุมัติ และการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว และป้องกันข้อพิพาทด้วยการเก็บประวัติเอกสารที่ตรวจสอบง่าย

เครื่องมือที่ข้าพเจ้าเลือกใช้บริหารเอกสารก่อสร้างทุกโครงการคือ ConZoL ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สร้างและพัฒนาโดยคนไทย ข้าพเจ้าเป็นผู้ใช้ระบบตั้งแต่แรก ๆ และได้ร่วมพัฒนาระบบให้มีฟังชั่นในการค้นหา ตรวจสอบ และเก็บประวัติของเอกสาร ทำให้ทราบสาเหตุของความล่าช้าได้แม่นยำ และ ConZoL ยังมีฟังชั่นการรายงานในรูปแบบกราฟแท่ง แสดงความคืบหน้าของเอกสารก่อสร้าง การนำส่งและรออนุมัติ ทำให้วิเคราะห์ได้อย่างง่ายดายว่างานส่วนไหนกำลังจะล่าช้า และแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดมากขึ้น

ข้อดีและข้อเสียของการใช้ระบบการจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบบูรณาการ (Integrated Electronic Document Management System – I-EDMS)

ข้อดี:

1. เพิ่มประสิทธิภาพ: การจัดเก็บและเรียกดูเอกสารจากระบบเดียวกันทุกฝ่าย ช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการทำงาน ลดเวลาที่ใช้ในการค้นหาเอกสารและการจัดการด้วยมือ ลดการขัดแย้งโต้เถียงกรณีที่ถือเอกสารไม่ตรงกัน

2. การทำงานร่วมกันที่ดีขึ้น: แพลตฟอร์มที่เป็นหนึ่งเดียวช่วยให้การสื่อสารและการทำงานร่วมกันระหว่างทีมงานโครงการ ผู้รับเหมา และลูกค้าดีขึ้น

3. ความแม่นยำที่สูงขึ้น: กระบวนการอัตโนมัติช่วยลดข้อผิดพลาดของมนุษย์ ทำให้เอกสารถูกต้องและเป็นปัจจุบัน

4. การปฏิบัติตามกฎระเบียบและความปลอดภัย: ระบบที่ดีมักมีคุณสมบัติในการติดตามการตรวจสอบ การควบคุมการเข้าถึง และการจัดเก็บข้อมูลอย่างปลอดภัย ช่วยให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบและปกป้องข้อมูลที่สำคัญ

5. การประหยัดค่าใช้จ่าย: การลดการใช้กระดาษและความต้องการพื้นที่เก็บเอกสารทางกายภาพสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากในระยะยาว อีกทั้งยังประหยัดเวลาของทีมงานก่อสร้าง ของทุกฝ่ายในการค้นหาเอกสาร ติดตามสถานะของเอกสาร

ข้อเสีย:

1. ต้นทุนเริ่มต้น: การนำระบบ I-EDMS มาใช้ต้องมีการลงทุนเริ่มต้นในซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และการฝึกอบรม ซึ่งอาจเป็นภาระสำหรับองค์กรบางแห่ง

2. การต่อต้านการเปลี่ยนแปลง: พนักงานที่คุ้นเคยกับวิธีการแบบดั้งเดิมอาจต่อต้านการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้ จำเป็นต้องมีการจัดการการเปลี่ยนแปลงที่มีประสิทธิภาพ

3. ปัญหาทางเทคนิค: การพึ่งพาเทคโนโลยีหมายความว่าหากระบบเกิดการหยุดทำงานหรือมีปัญหาทางเทคนิค จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานหากไม่มีการจัดการที่ดี

4. ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของข้อมูล: แม้ว่าระบบ I-EDMS จะเพิ่มความปลอดภัย แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการโจมตีทางไซเบอร์ จำเป็นต้องมีมาตรการความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่ง

สรุป

เอกสารก่อสร้างเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญมากในการบริหารโครงการก่อสร้าง หากเข้าถึงเอกสารสำคัญได้รวดเร็วแม่นยำในระหว่างงานก่อสร้าง ก็จะทำให้พิสูจน์ความล่าช้าโครงการได้ดี การนำระบบการจัดการเอกสารอิเล็กทรอนิกส์แบบบูรณาการ (I-EDMS) มาใช้ไม่ใช่สิ่งฟุ่มเฟือยอีกต่อไป แต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับโครงการก่อสร้างที่ต้องการประสิทธิภาพ ความถูกต้อง และการแข่งขัน ด้วยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ โครงการก่อสร้างสามารถเอาชนะความท้าทายแบบดั้งเดิม ติดตามแนวโน้มของอุตสาหกรรม และได้รับประโยชน์อย่างมากมาย ดังนั้น จึงอาจสรุปได้ว่าการลงทุนในระบบ I-EDMS นี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีความคุ้มค่า ถึงแม้ว่าอาจจะมีอุปสรรคในช่วงแรก ๆ อยู่บ้างก็ตาม

บทความอื่นๆ